3.การเลือกซื้อกลองชุด
ถ้าคุณกำลังมองหา หรือ กำลังตัดสินใจซื้อกลองชุด สิ่งที่ควรให้ความสำคัญ (ถ้าพิจาณาจากคุณภาพเป็นหลัก) สามารถแบ่งพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน หลักๆ คือ “ เสียง และ ความทนทาน ” 1. คุณภาพเสียงของกลอง ถามว่าเสียงกลองจะดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง (ไม่พูดถึงการจูนเสียงกลองหรือความสามารถในการตี เพราะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ส่วนของอุปกรณ์) “ ไม้ ” ที่ถือว่าเป็น ปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะบอกว่า กลองชุดนั้น เสียงจะเป็นอย่างไร ซึ่งเช่นเดียวกับเครื่องดนตรี Acoustic อื่นๆ เช่น กีต้าร์โปร่ง หัวใจสำคัญของกีต้าร์ก็อยู่ที่ตัวไม้ที่ใช้ผลิต สายกีต้าร์จะมีส่วนอยู่บ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย การเลือกซื้อกลองชุด จึงควรให้ความสำคัญกับ “ ไม้ที่ใช้ผลิต ” ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่า ระดับของกลองชุดนั้นๆว่าอยู่ในระดับคุณภาพดี หรือธรรมดา ไม้ที่นิยมนำมาใช้ผลิตกลองระดับเริ่มต้น (ที่มีคุณภาพดี มาตราฐาน) ได้แก่ ไม้ HAMOGANY ซึ่งเป็นไม้ที่นิยมนำมาผลิตกลองชุดมากที่สุด ไม้ชนิดต่อมาที่นำมาใช้ผลิตกลองชุด ได้แก่ ไม้ BIRCH ซึ่งกลองชุดที่ผลิตจากไม้ชนิดนี้จะมีราคาที่สูงกว่ากลองที่ทำมาจากไม้ MAHOGANY และ ไม้ที่นำมาใช้ผลิตกลองได้คุณภาพเสียงดีที่สุด คือ ไม้ MAPLE ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ผลิตกลองรุ่นสูงของแต่ละยี่ห้อเท่านั้น จะพูดว่า กลองชุดแต่ละรุ่นที่มีราคาแตกต่างกันนั้น หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ ชนิดของไม้ที่ใช้ผลิตก็ว่าได้ หลายคนเข้าใจว่า ซื้อกลองอะไรก็ได้ แค่เปลี่ยนหนังกลองให้ดีขึ้น เสียงกลองก็จะดีขึ้น .. ความจริงนั่นก็เพียงแค่ส่วนหนึ่ง การเปลี่ยนหนังกลองที่ดีขึ้น มีส่วนช่วยทำให้กลองชุดนั้นๆเสียงดีขึ้น แต่จะดีขึ้นเท่าที่ไม้ของกลองชุดนั้นๆจะทำได้ แต่การเปลี่ยนหนังกลอง ไม่ได้ทำให้เสียงกลองชุดหนึ่ง กลายเป็นอีกชุดหนึ่งไปได้ อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น “ ถ้าเอาล้อรถแข่งมาใส่กับรถเก๋ง อาจทำให้รถเก๋งวิ่งเร็วขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้รถเก๋งกลายเป็นรถแข่งไปได้ ” 2.คุณภาพความทนทาน เราทราบกันดีอยู่แล้ว กลองเป็นเครื่องดนตรีประเภท ตี ต้องโดนแรงกระแทกอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นคุณภาพของอุปกรณ์ ตั้งแต่ น็อตกลอง เกลียวกลอง ตัวล็อค จนไปถึง ขาตั้งส่วนต่างๆ ซึ่งสามารถเรียกรวมกันว่า HARDWARE ต้องมีคุณภาพดี ได้มาตราฐาน การจะเลือก HARDWARE ว่าแข็งแรงหรือไม่นั้น เราสามารถพิจารณาได้จาก “ ประเทศที่ผลิต ” ถ้าพิจารณากลองชุดระดับราคาไม่เกิน 1 แสนบาท ฐานการผลิตที่ส่วนมากจะอยู่ที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งผลิต HARDWARE ออกมาคุณภาพดีกว่า HARDWARE ที่ผลิตจากประเทศอื่นๆ อย่างเช่น จีน หรือ อินโดนีเซีย ซึ่งมีราคาถูกกว่า การพิจาณาความแข็งแรงของ HARDWARE จากขนาดของท่อ HARDWARE ก็สามารถแยกแยะได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณเคยเล่นกลองชุดมาก่อน คุณจะทราบว่า ปัญหาที่จะเกิดกับ HARDWARE มักไม่เกิดกับชิ้นส่วนที่เป็นท่อเหล็ก แต่จะพบปัญหามากในส่วนของข้อต่อต่างๆ ที่ต้องรับแรงกระแทกโดยตรงจากการตี หรือการใช้งาน (ที่มา : http://market.mthai.com/product/431250 ) กลองยี่ห้ออะไรดี ราคาเท่าไร่บ้าง >กลองยี่ห้อมาตรฐานโลก ติดตลาดที่มีขายทั่วโลก และได้รับการยอมรับ ก็มีหลายยี่ห้อ เช่น Tama, Pearl, Mapex, Yamaha, PDP,Ludwig, Premier, Dixon, Gretsch, Slingerland...บางยี่ห้อก็ราคาแพงมาก อย่าง DW และก็ยังมีกลองยี่ห้ออื่นๆอย่าง Cadeson, Sakae และกลอง Custom made ทั้งหลาย เยอะแยะไปหมด >กลองยี่ห้อของคนไทยเราทำในจีน ฮิต ใช้กันเยอะเพราะราคาถูก อย่าง Future, Glitter, Forever, Paramount, Vivid, 4+1, Baracuda, รวมทั้งกลองจากจีน อีกหลาย ยี่ห้อที่มีผู้นำเข้ามาขายเลย อย่าง Mes, Mr.Drumm รวมทั้งกลองคุณภาพจาก Drumtech ในชื่อ SCD ดังนั้น ยี่ห้อ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องการค้า หากคุณยึดติดยี่ห้อ ก็ต้องเลือกยี่ห้อก่อน แล้วค่อยดูรุ่นและงบประมาณ มาถึงตอนนี้คุณอาจจะต้องเปลี่ยนยี่ห้อ 55 ! เพราะยี่ห้อ ที่คุณชอบอาจจะแพงจนงบคุณไม่พอ ไหนจะซื้อฉาบและขาฉาบเพิ่มอีก เมื่อจำต้องเปลี่ยน เรามีคำแนะนำตามราคา ดังนี้ครับ 1 - ราคาเริ่มต้น 8,500-10,000 บาท ได้ยี่ห้อล่างๆ ของไทยที่เราขาย เช่น Future , Vivid, Foever,paramount 2 - ราคา 10,000-20,000 บาท ก็จะได้รุ่นต่ำสุดของกลองมียี่ห้ออย่าง Dixon, PDP, Ludwig, Mapex, Premier... 3 - ราคา 20,000-35,000 บาท ก็จะได้รุ่นต่ำสุดของ TAMA, Pearl, Yamaha, หรือรุ่นใหญ่ขึ้นของข้อ 2 4 - ราคา 35,000-70,000 บาท.ตรงนี้เหมาะสุด เพราะ Shell จะเป็นไม้ Birch -Maple ซึ่งให้เสียงดีมาตรฐาน 5 - ราคา 70,000- เกินแสน ไม่ขอพูดถึง และไม่แนะนำ เพราะเสียงมันไม่ได้ดีกว่าที่พูดมาเท่าไหร่ (ที่มา: http://www.mxmsound.com/drumset.html) |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น